วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การจัดการเกี่ยวกับบทความ 06.07.55


                                     คุณค่าและประโยชน์ของน้ำสมุนไพร

          น้ำสมุนไพรมีรสชาติอร่อยตามธรรมชาติ ให้คุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกายโดยตรงตามชนิดของสมุนไพรที่นำมาทำน้ำสมุนไพร มีผลต่อระบบการย่อยอาหาร ช่วยให้เจริญอาหาร ให้พลังงาน ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ร่างกายกระชุ่มกระชวย และอุดมไปด้วยวิตามินเกลือแร่ ยังช่วยบำรุงเส้นผม ช่วยควบคุมไขมันส่วนที่เกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          เนื่องจากสารอาหารในน้ำสมุนไพรช่วยควบคุมระบบการทำงานของร่างกายทำให้สารอาหารชนิดอื่นๆ ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ นอกจากจะมีสรรพคุณช่วยรักษาอาการป่วยไข้ทางกายแล้ว ความสดชื่นที่ได้จากกลิ่น และรูปรสของพืชผลเมืองร้อน ยังช่วยกล่อมเกลาอารมณ์และจิตใจได้เป็นอย่างดี

          ในช่วงอากาศร้อนเหงื่อออกมาก การดื่มน้ำสมุนไพรก็จะช่วยให้จิตใจชุ่มชื่น รู้สึกสบาย เพราะน้ำสมุนไพรบางชนิดสามารถช่วยผ่อนคลายความร้อน ทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง เช่น น้ำมะขาม ช่วยลดอาการกระหายน้ำ น้ำสมุนไพรบางชนิดช่วยบำรุงหัวใจเป็นยาเย็น เช่น น้ำใบเตย น้ำใบบัวบก น้ำสมุนไพรบางชนิด มีคุณสมบัติช่วยย่อย ทำให้ธาตุปกติและฟอกเลือด เช่น น้ำมะเขือเทศ ดังนั้น น้ำสมุนไพรจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยบำรุงปกป้องรักษาสภาวะร่างกายให้เกิดสมดุล ทำให้สุขภาพดี








ทดสอบแทรกรูปภาพ



วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555



น้ำฝรั่ง
    ส่วนผสม
      ฝรั่งแก่จัด (หั่นชิ้นเล็ก ๆ ) 30 กรัม (2 ช้อนคาว)
      น้ำต้มสุก 200 กรัม (14 ช้อนคาว)
      น้ำเชื่อม 15 กรัม (1 ช้อนคาว)
      เกลือป่นเล็กน้อย 2 กรัม (2/5 ช้อนชา)
วิธีทำ เลือกฝรั่งที่แก่จัดล้างน้ำสะอาด ฝานเฉพาะเนื้อชิ้นเล็ก ๆ นำใส่เครื่องปั่น เติมน้ำสุก ปั่นจนละเอียด
แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง เติมน้ำเชื่อมและเกลือป่นเล็กน้อย ชิมรสตามใจชอบ
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และมีสารเบต้าคาโรทีน ช่วยลดสารพิษในร่างกาย
ทั้งยังป้องกันไม่ให้ไขมันจับที่ผนังหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดแข็งตัว

คุณค่าทางยา ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยเส้นเลือดอุดตัน 

น้ำแตงโม
    ส่วนผสม
      เนื้อแตงโม 50 กรัม ( 5 ช้อนคาว)
      น้ำเชื่อม 15 กรัม ( 1 ช้อนคาว)
      เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม ( 1/5 ช้อนชา)
      น้ำเปล่าต้มสุก 150 กรัม ( 10 ช้อนคาว)
วิธีทำ นำเนื้อแตงโม น้ำ น้ำเชื่อม เกลือ ใส่ในเครื่องปั่น นำไปปั่นให้ละเอียดชิมรสตามชอบ
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร 
มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา และวิตามิน ซี ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน 
คุณค่าทางยา ช่วยขับปัสสาวะ ปากเป็นแผล แก้ร้อนใน แก้กระหายน้ำ


ข้อแนะนำในการเตรียมน้ำสมุนไพร
การเตรียมน้ำสมุนไพร เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างแท้จริงควรคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
    1. การเลือกสมุนไพร
      1.1 สมุนไพรสด เลือกที่สด เก็บมาจากต้นใหม่ ตามฤดูกาลสีสรรเป็นธรรมชาติตามชนิดของสมุนไพรไม่มีรอย
      ช้ำเน่าเสียความสดทำให้มีรสชาติดี มีคุณค่ามากกว่า

      1.2 สมุนไพรแห้ง การแปรรูปสมุนไพร โดยวิธีทำให้แห้ง เป็นการเก็บรักษาสมุนไพรวิธีหนึ่ง เพื่อให้มีสมุนไพร
      ไว้ใช้นอกฤดูกาล การเลือกซื้อควรดูที่ความสะอาด สีสรรไม่คล้ำมาก เช่น กระเจี๊ยบแห้ง ควรมีสีแดงคล้ำแต่ไม่ดำ มะตูมแห้งสีน้ำตาลออกเหลือง จะต้องไม่มีกลิ่นของปัสสาวะ หรืออุจจาระสัตว์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้รูป รส กลิ่น
      สี ของน้ำสมุนไพรเปลี่ยนไป
    2. ความสะอาดของภาชนะและสมุนไพร
      1. ภาชนะที่ใช้เตรียม จะต้องสะอาด เลือกใช้ให้เหมาะสมกับชนิดของสมุนไพร เช่น มะขาม มะม่วง สับปะรด เชอรี่
        มะเฟือง ฯลฯ มีรสเปรี้ยวควรใช้ภาชนะเคลือบ เนื่องจากกรดที่มีอยู่ในสมุนไพรจะทำปฏิกิริยากับภาชนะอะลูมิเนียม
        ทองเหลือง ทำให้รสชาติของน้ำดื่มสมุนไพรเปลี่ยนไป จะได้โลหะหนักปนอีกด้วย ภาชนะที่ใช้บรรจุหลังปรุงเสร็จ
        ควรเป็นภาชนะแก้ว เมื่อบรรจุน้ำสมุนไพรแล้วต้องนึ่งฆ่าเชื้ออีกไม่น้อยกว่า 30 นาที เย็นแล้วจึงเก็บเข้าตู้เย็น จะทำให้น้ำสมุนไพรเก็บได้นาน อีกทั้งทำให้ดูน่ารับประทาน และยืดเวลาการเน่าเสียเพราะไม่ได้ใส่สารกันบูด
      2. ความสะอาดของตัวสมุนไพร ควรล้างให้ถูกวิธี ถ้าเป็นสมุนไพรแห้งจะต้องล้างอย่างน้อย 1 – 2
      ครั้ง ถ้าเป็นสมุนไพรสด ควรล้างอย่างน้อย 2 – 3 ครั้ง เพื่อป้องกันสารเคมีที่ติดมา ซึ่งสามารถลดปริมาณสารพิษในผัก
      และผลไม้ได้ การล้างผักและผลไม้เพื่อลดปริมาณสารพิษ ทำได้ดังนี้
      - แช่น้ำสะอาด 15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ 7 – 8
      - ล้างด้วยน้ำโซดา 1 เปอร์เซนต์ ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ 23 – 61
      - ให้น้ำก๊อกไหลผ่าน 2 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ 54 – 63
      - แช่ด้วยน้ำส้มสายชู 5 เปอร์เซ็นต์ ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ 60 - 84
    3. น้ำตาลหรือน้ำเชื่อมจากข้อแนะนำจากการบริโภคอาหารของคนไทย ควรได้รับไม่เกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะ (หนัก 30 กรัมหรือ ประมาณ
      2 ช้อนคาว หรือ 6 ช้อนชา ) ซึ่งรวมถึงการรับประทานอาหารในมื้อต่าง ๆ ด้วย

      วิธีการเตรียมน้ำเชื่อมเข้มข้น
      น้ำตาลทราย 100 กรัม (20 ช้อนชา หรือ 7 ช้อนคาวไม่พูน)
      น้ำสะอาด 50 กรัม (10 ช้อนชา หรือ 3.5 ช้อนคาว)
      นำน้ำตาลผสมน้ำตามส่วน ตั้งไฟพอเดือดจนน้ำตาลละลายหมดยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น จะได้น้ำเชื่อมประมาณ
      10 ช้อนคาว (30 ช้อนชา)
    4. การชั่ง ตวง วัด น้ำสมุนไพรการชั่ง ตวง วัด มีประโยชน์ คือ ทำให้น้ำสมุนไพรที่ปรุงมีรสชาติอร่อยเหมือนกันทุกครั้ง ถ้าการตวงวัดนั้น
      ถูกต้องได้มาตรฐาน ดังนั้นก่อนทำน้ำสมุนไพรควรทราบอัตราส่วนของการชั่ง ตวง วัด ก่อนที่จะปรับน้ำ
      สมุนไพรดังนี้

      1 ถ้วยแก้ว มีปริมาตรเท่ากับ 250 มิลลิลิตร
      1 ถ้วยชา มีปริมาตรเท่ากับ 75 มิลลิลิตร
      1 ช้อนโต๊ะหรือช้อนคาว มีปริมาตรเท่ากับ 15 มิลลิลิตร
      1 ช้อนตวง มีปริมาตรเท่ากับ 8 มิลลิลิตร
      1 ช้อนชา มีปริมาตรเท่ากับ 5 มิลลิลิตร
      16 ช้อนโต๊ะ มีปริมาตรเท่ากับ 1 มิลลิลิตร
      1 กำมือ มีปริมาตรเท่ากับ 4 หยิบมือ
      (หรือหมายถึงปริมาตรที่ได้จากการใช้มือเพียงข้างเดียวทำโดยใช้ปลายนิ้วจรดเข้าไปในอุ้งมือโหย่ง ๆ )
    5. อุปกรณ์การทำน้ำสมุนไพร
      1. ควรใช้ครกตำหรือขูดให้เป็นฝอยแล้วคั้นด้วยผ้าขาวบาง เพื่อแยกน้ำสมุนไพรออกจากกาก หรือใช้
        เครื่องปั้นน้ำผลไม้ หรือเครื่องปั้นผลไม้ชนิดแยกกาก
      2. ช้อนตวง (อาจดัดแปลงใช้ช้อนโต๊ะหรือช้อนคาวและช้อนชาแทนได้)
      3. ภาชนะสำหรับใส่น้ำสมุนไพร เช่น แก้วน้ำ หรือขวดแก้ว ต้องสะอาด
วิธีดื่มและข้อควรคำนึงเกี่ยวกับน้ำสมุนไพร
ปัจจุบันได้มีผู้คิดค้นหาวิธีการรักษาโรคต่าง ๆ โดยใช้น้ำที่ทำจากผัก ผลไม้ ธัญพืชต่าง ๆ น้ำสมุนไพรบางชนิดจะดื่มลำบาก
ในช่วงแรกของการดื่มอาจจะทำให้รู้สึกอึดอัดเนื่องจากรสชาติไม่ค่อยตรงกับรสนิยมของผู้ดื่มแต่จะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น
วิธีการดื่มที่ดี ควรดื่มแบบจิบช้า ๆ และควรดื่มทันทีที่ปรุงเสร็จ เพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารและทางยา มากกว่าปล่อยทิ้งไว้
นานแล้วดื่ม เนื่องจากจะทำให้คุณค่าลดลง นอกจากนี้ยังสามารถทำดื่มได้ทั้งร้อนและเย็นตามความชอบของแต่ละบุคคล

การดื่มน้ำสมุนไพรชนิดเดียวติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทดำให้เกิดการสะสมสารบางชนิดที่มีฤทธิ์ต่อร่างกายได้การดื่มน้ำ
สมุนไพรร้อน ๆ ที่มีอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ขึ้นไปทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสียสภาพภูมิคุ้มกันเฉพาะที่และอาจทำให้
มีการดูดซึมสารก่อมะเร็ง , จุลินทรีย์ ฯลฯ ได้ง่าย



นำมาแปรรูปให้เหมาะสมตามฤดูกาลการเตรียมน้ำสมุนไพรไว้ดื่มเองนั้น ราคาจะย่อมเยา สะอาด ปราศจากสารพิษ รสชาติจะถูกปากของแต่ละบุคคลได้ทั้งกลิ่นและรสตามธรรมชาติของสมุนไพรนั้น ๆ ร่างกายของคนเรามีส่วนประกอบ
ของน้ำประมาณร้อยละ 80 น้ำจึงมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตรองจากอากาศ ร่างกายต้องใช้น้ำไปช่วยให้ระบบต่าง ๆ
ในร่างกายทำงานได้ตามปกติ น้ำในร่างกายจะมีการสูญเสียวันละประมาณ 2 – 3 ลิตร ถ้าเราไม่ดื่มน้ำเข้าไปชดเชย
จะทำให้เกิดการกระหายน้ำ ฉะนั้นเราจึงต้องดื่มน้ำเข้าไปทดแทนเท่ากับที่เสียไป แต่ในบางครั้งความกระหายทำให้คน
ยังยึดติดในรสชาติ จึงมักหันไปดื่มน้ำที่ให้รสชาติ เช่น น้ำสมุนไพรซึ่งมีประโยชน์ทางยา มีคุณค่าทางอาหารและช่วยใน
การป้องกันโรค เป็นต้น โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อน เหงื่อออกมาก ดื่มน้ำสมุนไพรก็จะช่วยให้จิตใจชุ่มชื่นทำให้รู้สึกสบาย เพราะน้ำสมุนไพรบางชนิดสามารถช่วยผ่อนคลายความร้อนทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง เช่น น้ำมะขาม ช่วยลดอาการ
กระหายน้ำ น้ำสมุนไพรบางชนิดช่วยบำรุงหัวใจเป็นยาเย็น ได้แก่ น้ำใบเตย น้ำใบบัวบก น้ำสมุนไพรบางชนิด มีคุณสมบัติ
ช่วยย่อย ช่วยทำให้ธาตุปกติและฟอกเลือด ได้แก่น้ำมะเขือเทศ เป็นต้น น้ำสมุนไพรเหล่านี้ เป็นได้ทั้งอาหารและให้คุณค่า
ทางยาได้บ้างเล็กน้อย ดังนั้น น้ำสมุนไพรจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยบำรุง ปกป้องรักษาสภาวะร่างกายให้เกิดสมดุลย์
ทำให้สุขภาพดีในที่สุด

คุณค่าและประโยชน์น้ำสมุนไพร
น้ำสมุนไพรมีรสชาติที่อร่อยตามธรรมชาติ ให้คุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกายโดยตรง มีผลต่อระบบการย่อยอาหาร
เจริญอาหาร ให้พลังงานทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ร่างกายกระชุ่มกระชวย และอุดมไปด้วย วิตามินเกลือแร่ นอกจาก
ผิวพรรณแล้ว ยังช่วยบำรุงเส้นผมช่วยควบคุมไขมันส่วนที่เกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ เนื่องจากสารอาหารในน้ำสมุนไพรช่วยควบคุมระบบการทำงานของร่างกายทำให้สารอาหารชนิดอื่นได้
ประโยชน์อย่างเต็มที่


น้ำสมุนไพร
ความเป็นมาและความสำคัญของน้ำสมุนไพร
มุนไพร เป็นทรัพยากรธรรมชาติ คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงส่วนของพืชที่นำมาใช้เป็นยารักษาโรค แต่ในความจริง คือ
ส่วนประกอบที่ได้จากพืช สัตว์ แร่ธาตุต่าง ๆ ที่นำมาใช้สำหรับทำเครื่องยา ตัวอย่างเช่น

    • สมุนไพรจากพืช ได้แก่ ผัก ผลไม่ต่าง ๆ เช่น ขิง ใบเตย กะเพรา ว่านหางจระเข้ ผักคะน้า ผักตำลึง ส้ม แตงโม เป็นต้น
    • สมุนไพรจากสัตว์ ได้แก่ เขากวาง ดีหมี ดีงู จิ้งจก ตุ๊กแก เป็นต้น
    • แร่ธาตุที่ใช้เป็นสมุนไพร ได้แก่ น้ำปูนใส เกลือแกง ดีเกลือ เป็นต้น
      นอกจากนั้น ยังมีบางส่วนของสมุนไพรที่รับประทานไม่ได้ยังสามารถใช้ทำยาภายนอกได้ เช่น ช่วยป้องกันยุงกัด
      รักษาบาดแผล เป็นต้น
       ดังนั้น น้ำสมุนไพรจึงเป็นน้ำดื่มที่ได้จากการใช้ส่วนประกอบต่าง ๆ ของพืช เช่น ผลไม้ ผัก/ธัญพืชต่าง ๆ