ข้อแนะนำในการเตรียมน้ำสมุนไพร
การเตรียมน้ำสมุนไพร เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างแท้จริงควรคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
- การเลือกสมุนไพร
1.1 สมุนไพรสด เลือกที่สด เก็บมาจากต้นใหม่ ตามฤดูกาลสีสรรเป็นธรรมชาติตามชนิดของสมุนไพรไม่มีรอย
ช้ำเน่าเสียความสดทำให้มีรสชาติดี มีคุณค่ามากกว่า
1.2 สมุนไพรแห้ง การแปรรูปสมุนไพร โดยวิธีทำให้แห้ง เป็นการเก็บรักษาสมุนไพรวิธีหนึ่ง เพื่อให้มีสมุนไพร
ไว้ใช้นอกฤดูกาล การเลือกซื้อควรดูที่ความสะอาด สีสรรไม่คล้ำมาก เช่น กระเจี๊ยบแห้ง ควรมีสีแดงคล้ำแต่ไม่ดำ มะตูมแห้งสีน้ำตาลออกเหลือง จะต้องไม่มีกลิ่นของปัสสาวะ หรืออุจจาระสัตว์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้รูป รส กลิ่น
สี ของน้ำสมุนไพรเปลี่ยนไป - ความสะอาดของภาชนะและสมุนไพร
- ภาชนะที่ใช้เตรียม จะต้องสะอาด เลือกใช้ให้เหมาะสมกับชนิดของสมุนไพร เช่น มะขาม มะม่วง สับปะรด เชอรี่
มะเฟือง ฯลฯ มีรสเปรี้ยวควรใช้ภาชนะเคลือบ เนื่องจากกรดที่มีอยู่ในสมุนไพรจะทำปฏิกิริยากับภาชนะอะลูมิเนียม
ทองเหลือง ทำให้รสชาติของน้ำดื่มสมุนไพรเปลี่ยนไป จะได้โลหะหนักปนอีกด้วย ภาชนะที่ใช้บรรจุหลังปรุงเสร็จ
ควรเป็นภาชนะแก้ว เมื่อบรรจุน้ำสมุนไพรแล้วต้องนึ่งฆ่าเชื้ออีกไม่น้อยกว่า 30 นาที เย็นแล้วจึงเก็บเข้าตู้เย็น จะทำให้น้ำสมุนไพรเก็บได้นาน อีกทั้งทำให้ดูน่ารับประทาน และยืดเวลาการเน่าเสียเพราะไม่ได้ใส่สารกันบูด - ความสะอาดของตัวสมุนไพร ควรล้างให้ถูกวิธี ถ้าเป็นสมุนไพรแห้งจะต้องล้างอย่างน้อย 1 – 2
และผลไม้ได้ การล้างผักและผลไม้เพื่อลดปริมาณสารพิษ ทำได้ดังนี้
- แช่น้ำสะอาด 15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ 7 – 8
- ล้างด้วยน้ำโซดา 1 เปอร์เซนต์ ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ 23 – 61
- ให้น้ำก๊อกไหลผ่าน 2 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ 54 – 63
- แช่ด้วยน้ำส้มสายชู 5 เปอร์เซ็นต์ ลดปริมาณสารพิษได้ ร้อยละ 60 - 84 - ภาชนะที่ใช้เตรียม จะต้องสะอาด เลือกใช้ให้เหมาะสมกับชนิดของสมุนไพร เช่น มะขาม มะม่วง สับปะรด เชอรี่
- น้ำตาลหรือน้ำเชื่อมจากข้อแนะนำจากการบริโภคอาหารของคนไทย ควรได้รับไม่เกินวันละ 2 ช้อนโต๊ะ (หนัก 30 กรัมหรือ ประมาณ
2 ช้อนคาว หรือ 6 ช้อนชา ) ซึ่งรวมถึงการรับประทานอาหารในมื้อต่าง ๆ ด้วย
วิธีการเตรียมน้ำเชื่อมเข้มข้น
น้ำตาลทราย 100 กรัม (20 ช้อนชา หรือ 7 ช้อนคาวไม่พูน)
น้ำสะอาด 50 กรัม (10 ช้อนชา หรือ 3.5 ช้อนคาว)
นำน้ำตาลผสมน้ำตามส่วน ตั้งไฟพอเดือดจนน้ำตาลละลายหมดยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น จะได้น้ำเชื่อมประมาณ
10 ช้อนคาว (30 ช้อนชา) - การชั่ง ตวง วัด น้ำสมุนไพรการชั่ง ตวง วัด มีประโยชน์ คือ ทำให้น้ำสมุนไพรที่ปรุงมีรสชาติอร่อยเหมือนกันทุกครั้ง ถ้าการตวงวัดนั้น
ถูกต้องได้มาตรฐาน ดังนั้นก่อนทำน้ำสมุนไพรควรทราบอัตราส่วนของการชั่ง ตวง วัด ก่อนที่จะปรับน้ำ
สมุนไพรดังนี้
1 ถ้วยแก้ว มีปริมาตรเท่ากับ 250 มิลลิลิตร
1 ถ้วยชา มีปริมาตรเท่ากับ 75 มิลลิลิตร
1 ช้อนโต๊ะหรือช้อนคาว มีปริมาตรเท่ากับ 15 มิลลิลิตร
1 ช้อนตวง มีปริมาตรเท่ากับ 8 มิลลิลิตร
1 ช้อนชา มีปริมาตรเท่ากับ 5 มิลลิลิตร
16 ช้อนโต๊ะ มีปริมาตรเท่ากับ 1 มิลลิลิตร
1 กำมือ มีปริมาตรเท่ากับ 4 หยิบมือ
(หรือหมายถึงปริมาตรที่ได้จากการใช้มือเพียงข้างเดียวทำโดยใช้ปลายนิ้วจรดเข้าไปในอุ้งมือโหย่ง ๆ ) - อุปกรณ์การทำน้ำสมุนไพร
- ควรใช้ครกตำหรือขูดให้เป็นฝอยแล้วคั้นด้วยผ้าขาวบาง เพื่อแยกน้ำสมุนไพรออกจากกาก หรือใช้
เครื่องปั้นน้ำผลไม้ หรือเครื่องปั้นผลไม้ชนิดแยกกาก - ช้อนตวง (อาจดัดแปลงใช้ช้อนโต๊ะหรือช้อนคาวและช้อนชาแทนได้)
- ภาชนะสำหรับใส่น้ำสมุนไพร เช่น แก้วน้ำ หรือขวดแก้ว ต้องสะอาด
- ควรใช้ครกตำหรือขูดให้เป็นฝอยแล้วคั้นด้วยผ้าขาวบาง เพื่อแยกน้ำสมุนไพรออกจากกาก หรือใช้
ปัจจุบันได้มีผู้คิดค้นหาวิธีการรักษาโรคต่าง ๆ โดยใช้น้ำที่ทำจากผัก ผลไม้ ธัญพืชต่าง ๆ น้ำสมุนไพรบางชนิดจะดื่มลำบาก
ในช่วงแรกของการดื่มอาจจะทำให้รู้สึกอึดอัดเนื่องจากรสชาติไม่ค่อยตรงกับรสนิยมของผู้ดื่มแต่จะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น
วิธีการดื่มที่ดี ควรดื่มแบบจิบช้า ๆ และควรดื่มทันทีที่ปรุงเสร็จ เพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารและทางยา มากกว่าปล่อยทิ้งไว้
นานแล้วดื่ม เนื่องจากจะทำให้คุณค่าลดลง นอกจากนี้ยังสามารถทำดื่มได้ทั้งร้อนและเย็นตามความชอบของแต่ละบุคคล
การดื่มน้ำสมุนไพรชนิดเดียวติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทดำให้เกิดการสะสมสารบางชนิดที่มีฤทธิ์ต่อร่างกายได้การดื่มน้ำ
สมุนไพรร้อน ๆ ที่มีอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ขึ้นไปทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสียสภาพภูมิคุ้มกันเฉพาะที่และอาจทำให้
มีการดูดซึมสารก่อมะเร็ง , จุลินทรีย์ ฯลฯ ได้ง่าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น